วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เพชร

เพชร

ความหมายอื่นของ เพชร ดูได้ที่ เพชร (แก้ความกำกวม)
เพชร เป็นอัญมณีรูปแบบหนึ่งของคาร์บอน จัดเรียงตัวเป็นทรงแปดหน้า เป็นแร่ที่แข็งที่สุดตามสเกลของโมส์ (Moh's scale) มีค่าความแข็งเท่ากับ 10
เพชรมีหลายสี สีที่นิยมที่สุดคือสีขาวบริสุทธิ์ สีที่หายากคือสีแดง ฟ้า เขียว ส้ม ชมพู เรียก "แฟนซีไดมอนด์" มีราคาสูงมาก การเจียระไนเป็น 52 เหลี่ยมนับว่าสวยที่สุด เพชรเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ความแข็งแกร่ง แหล่งของเพชรมีอยู่ทั่วโลก ส่วนมากพบที่บราซิลและแอฟริกาใต้

ศัพท์มูลวิทยา

คำว่า เพชร ในภาษาไทย มาจาก वज्र (วชฺร) ในภาษาสันสกฤต หมายถึง สายฟ้า หรืออัญมณีชนิดนี้ก็ได้ ส่วนในภาษาอังกฤษ "diamond" มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณ αδάμας (adámas) ซึ่งมีความหมายว่า "สมบูรณ์" "เปลี่ยนแปลงไม่ได้" "แข็งแกร่ง" "กล้าหาญ" มาจาก ἀ- (a-) มีความหมายว่า "ไม่-" + δαμάω (damáō), "เอาชนะ" "ขี้ขลาด"[3] ภายหลังได้แผลงเป็น adamant, diamaunt, diamant และ diamond ในที่สุด

ประวัติ

เพชรมีการกล่าวถึงและทำเหมืองเพชรครั้งแรกในประเทศอินเดีย โดยเฉพาะชั้นหินที่เกิดจากการทับถมของตะกอนน้ำพาเป็นเวลาหลายศตวรรษตามแม่น้ำเพนเนอร์ กฤษณะ และ โคธาวารี เพชรเป็นที่รู้จักในประเทศอินเดียมาไม่น้อยกว่า 3,000 ปีแต่ไม่เกิน 6,000 ปี[4]
อัญมณีเพชรกลายเป็นสิ่งมีค่าเมื่อมีการนำไปใช้เป็นรูปเคารพทางศาสนาในอาณาจักรอินเดียโบราณ นอกจากนี้ ยังมีการใช้งานเพชรเป็นเครื่องมือแกะสลักตั้งแต่สมัยต้นประวัติศาสตร์ของมนุษย์อีกด้วย[5][6] ความนิยมของเพชรได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น เทคนิคการตัดและขัดเกลาที่ดีขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจโลก และการปฏิรูปและความสำเร็จของการโฆษณาเผยแพร่[7]
ในปี ค.ศ. 1772 อ็องตวน ลาวัวซีเยได้ใช้แว่นขยายรวมรังสีดวงอาทิตย์ไปบนเพชรในบรรยากาศที่มีแต่ออกซิเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์จากการเผาไหม้มีเพียงแต่คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นการพิสูจน์ว่าเพชรเป็นองค์ประกอบของคาร์บอน ต่อมาในปี ค.ศ. 1797 สมิทสัน เท็นแนนต์ (Smithson Tennant) ได้ทำซ้ำและเพิ่มเติมการทดลองนี้ โดยแสดงให้เห็นว่าการเผาไหม้เพชรและกราไฟท์จะปลดปล่อยก๊าซที่มีองค์ประกอบเดียวกัน สมิทสันได้สร้างสมดุลสมการเคมีของสารเหล่านี้ขึ้นมา[8]
การใช้งานเพชรส่วนมากในปัจจุบันเป็นการใช้ในเชิงอัญมณีซึ่งใช้ทำเครื่องประดับ การใช้งานในลักษณะนี้สามารถนับย้อนไปได้ถึงในสมัยโบราณ การกระจายของแสงขาวในสเปกตรัมสีเป็นลักษณะพื้นฐานทางด้านอัญมณีวิทยาของอัญมณีเพชร ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้เชี่ยวชาญในด้านอัญมณีวิทยาได้พัฒนาวิธีแบ่งระดับของเพชรและอัญมณีชนิดอื่นบนพื้นฐานของลักษณะที่สำคัญในเชิงมูลค่าของอัญมณี 4 ลักษณะหรือที่รู้จักกันในชื่อ 4 ซี ถูกใช้เป็นพื้นฐานการบ่งชี้ของเพชร ประกอบด้วย กะรัต (carat) การตัด (cut) สี (color) และ ความสะอาด (clarity)[9] เพชรไม่มีตำหนิที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรู้จักกันในชื่อ พารากอน

คุณสมบัติทางกายภาพ

แผนภาพวัฎภาค (phase diagram) การพยากรณ์ตามหลักทฤษฎีของคาร์บอน
Four panels. First, seven clear faceted gems, six small and a large one. Second, black material with uneven surface. Third, three parallel atomic sheets, each resembling a chicken wire hedge. Fourth, a boxed atomic structure containing tetrahedrally arranged balls connected by 0.15 nm bonds.
เพชรและแกรไฟต์เป็นสองอัญรูปของคาร์บอนที่แตกต่างกันทางโครงสร้าง
เพชรเป็นผลึกโปร่งใสของอะตอมคาร์บอนที่จับยึดกับแบบรูปพีระมิด (sp3) ตกผลึกกลายเป็นโครงข่ายเพชรที่เป็นการแปรผันของโครงสร้างลูกบาศก์แบบเฟซเซ็นเตอร์ (face centered cubic)

ระดับความบริสุทธิ์ (Clarity)

การจำแนกความบริสุทธิ์ของเพชร สามารถจำแนกได้ตามหลักสากล ดังนี้
1.Flawless (FL) - เป็นเพชรชั้นยอดน้ำงามที่สุด ไม่มีตำหนิหรือมลทินใดๆในทั้งเนื้อเพชรและผิวของเพชร เมื่อมองภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า (10X)
2.Internally Flawless (IF) - เป็นเพชรชั้นยอดที่ไม่มีตำหนิภายในเนื้อเพชรเลย เมื่อมองภายใต้กล้องขยาย 10 เท่า (10X)
3.Very Very Slightly Included (VVS1 / VVS2) - เป็นระดับของเพชรที่มีมลทินในเนื้อเพชรให้เห็นได้น้อยมากๆ ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้กล้องกำลังขยาย 10 เท่า ส่องจึงเห็น และจะต้องใช้เวลาในการค้นหาค่อนข้างนาน แล้วแต่ความชำนาญของผู้ตรวจสอบ จำแนกออกเป็นระดับ 1 และ 2 ตามลำดับ หากตำหนิน้อยมากจะใช้ VVS1 หากตำหนิที่สามารถเห็นได้ชัดมากขึ้นจะใช้ VVS2
4.Very Slightly Included (VS1 / VS2) - เป็นระดับของเพชรที่มีมลทินในเนื้อเพชรในระดับที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้กล้องกำลังขยาย 10 เท่า ส่องจึงเห็น และจะต้องใช้เวลาในการค้นหาสักพัก แต่จะใช้เวลาน้อยกว่าเพชรความสะอาดระดับ VVS ตำหนิและมลทินสามารถเห็นได้ชัดเจนมากกว่าระดับ VVS และอาจมีสีต่างๆในเนื้อของมลทินที่สามารถมองเห็นได้
5.Slightly Included (SI1 / SI2) - เป็นระดับของมลทินที่สามารถมองเห็นได้ทันทีภายใต้กล้องกำลังขยาย 10 เท่าและบางกรณีสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จะมีขนาดที่เล็กอาจจะต้องสังเกต หรือใช้กระดาษขาวทาบและมองกับแสงไฟจึงเห็นชัดขึ้น ในระดับสายตาของผู้ยังไม่ชำนาญการ จะต้องใช้เวลานานในการสังเกต
6.Imperfect (I1 / I2 / I3) - เป็นระดับมลทินที่สามารถสังเกตด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะมีเยอะมาก จนทำให้สังเกตได้เยอะ

กะรัต (Carat)

น้ำหนักซึ่งเป็นมาตรฐานในการวัดน้ำหนักของอัญมณี ซึ่งเทียบกับมาตราเมตริกได้ 0.2 กรัม ทั้งนี้ มาตรน้ำหนักกะรัตนี้ พ้องเสียงกับคำว่า กะรัต (Karat) ที่ใช้วัดระดับความบริสุทธิ์ของทองคำ ซึ่งทองคำมีค่าความบริสุทธิ์ 99.99% มีค่าเท่ากับ 24 กะรัต (Karat)
ที่มาของคำว่ากะรัต มาจากเมล็ดของผล การัต ซึ่งเมล็ดของผลชนิดนี้จะมีน้ำหนักเท่ากันทุกเมล็ด ซึ่งในสมัยโบราณนิยมใช้กันมาก เพราะไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนในการวัด จึงนำเอาเมล็ดจากผลการัต มาเป็นหน่วยในการวัดน้ำหนักของอัญมณี

สี (Color)

การจำแนกเฉดสีของเพชร สามารถเรียงจาก D ไปจนถึง Z ซึ่งหากแทนด้วยอักษร D จะหมายถึง มีความขาวใส มากที่สุด ซึ่งบางครั้งคนไทยจะเรียกว่า "น้ำ" เพชรน้ำยิ่งสูงก็จะยิ่งขาวและไม่มีสีเหลืองเจือปน เพชรระดับไร้สี (Colorless) ได้แก่ เพชรน้ำ 100, 99, 98 หรือ เพชรสี D,E,F ส่วนเพชระดับเกือบไร้สี (Near Colorless) ได้แก่เพชรน้ำ 97, 96, 95, 94 หรือ G,H,I,J ดูตัวอย่างการเทียบสีเพชร ส่วนเฉดสีอื่นๆ จะไล่ไปเรื่อยๆเช่น สีนวลอ่อน อาจจะแทนด้วยอักษร G สีเหลืองแชมเปญ จะไล่ลงไปเป็น L เหลืองเข้ม จะใช้แทนด้วย P จนกระทั่งไปถึงตัวอักษร Z ที่จะเป็นสีเหลืองสด และถูกแยกออกเป็นเฉดสีเพชรแฟนซี
การจำแนกสีของเพชร จะแยกเฉพาะโทนสี ขาว และเหลืองเท่านั้น หากแยกออกไปจากนี้จะเป็นรูปแบบเพชรแฟนซี ซึ่งจะมีสีสันสดใสและแปลกตาออกไป
เหตุที่แยกโทนสีเฉพาะสีเหลืองเพราะว่า คาร์บอนในตัวของเพชร เมื่อได้รับความร้อนหรือสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ จะทำให้เพชรมีสีแตกต่างออกไป เช่นเพชรสีเหลืองมีธาตุในโตรเจนเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย สีน้ำเงิน อาจมีไทเทเนียมและเหล็กเจือปน

แนวทางความสำเร็จ

10 วิธีเอาชนะอุปสรรค เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ
เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตและการงาน ที่ต้องพานพบอุปสรรคไม่มากก็น้อยในระหว่างการเดินไปสู่เป้าหมาย และถ้าคุณกำลังทำงานใหญ่ ขอบอกเลยว่า คุณต้องเจอกับปัญหาอุปสรรคนานัปการตลอดเส้นทาง นี่มิใช่การมองโลกในแง่ร้าย มันเป็นความจริงที่คุณต้องยอมรับและเตรียมพร้อมรับมือกับอุปสรรคทุกรูปแบบ ที่คุณต้องจัดการแก้ไข เพื่อข้ามพ้นไปสู่ความสำเร็จให้ได้ เพราะการเอาชนะอุปสรรค เป็นจุดเปลี่ยนที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอันงดงาม

แต่คุณก็ไม่ต้องกังวลมากนัก ขอเพียงมีสติตั้งรับอย่างแน่วแน่ เพราะอุปสรรคที่เกิดขึ้นนั้น อาจมาในรูปของปัญหาทางเทคนิค หรือเกี่ยวข้องกับผู้คนมากหน้าหลายตา ดังนั้น คุณต้องรู้จักนำศิลปะการแก้ไขปัญหามาใช้ให้เป็นประโยชน์ และ 10 วิธีเอาชนะอุปสรรค ต่อไปนี้ อาจจะช่วยนำพาคุณไปในทิศทางที่ถูกต้อง ฝ่าอุปสรรค ขวากหนาม เพื่อไปถึงเส้นชัยแห่งความสำเร็จได้โดยเร็ว

1. ชี้ปัญหาและวิเคราะห์หาสาเหตุ

วิธีที่เร็วที่สุดในการแก้ปัญหาใดๆ ก็คือ ค้นหาต้นตอของสาเหตุ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าผลเกิดจากเหตุ ดังนั้น จงหาดูว่าอะไรคือที่มาของสิ่งที่เป็นประเด็นปัญหา ซึ่งโดยปกติ ต้องอาศัยเวลาในการลงความเห็น แต่ก็นับว่าคุ้มค่า เพราะทันทีที่รู้รากเหง้าของปัญหา คุณก็สามารถจัดการกับมันได้ทันควัน เพื่อเดินหน้าต่อไป

มีบ่อยครั้งที่คนรอบๆ ตัวคุณ มักกลัวและไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้น คุณจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างแน่ชัดถึงวิธีการที่คุณจะใช้แก้ปัญหา และคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพวกเขา มีข้อแนะนำที่อยากจะบอกก็คือ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น คนรอบๆ ข้างคุณ มักไม่พูดความจริงในครั้งแรกๆ

2. เชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง

มีหลายๆคนที่ใช้สัญชาตญาณของตัวเองแก้ปัญหาต่างๆได้สำเร็จ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงความคิดเล็กๆ น้อยที่ฝังอยู่ในห้วและดูไม่สมเหตุผล แต่ท้ายที่สุด มันกลับกลายเป็นวิธีที่ใช้แก้ปัญหาได้ผล ดังนั้น ให้ลองฟังเสียงสัญชาตญาณของตัวเอง มันจะบอกคุณเองว่า ต้องทำอะไร

3. เรียนรู้จากปัญหาของคนอื่น

ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับคุณ อาจเคยเกิดขึ้นกับผู้อื่นและได้รับการแก้ไขให้ลุล่วงไปแล้วด้วยดี จึงไม่จำเป็นที่คุณต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ เพียงแค่ค้นหาวิธีที่คนอื่นใช้แก้ปัญหา โดยหาอ่านได้จากบทความในหนังสือ หรือในอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นอีกแหล่งหนึ่งที่รวบรวมความรู้ต่างๆมากมายจากทุกมุมโลก และสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายๆ นำมาลองปรับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ของคุณ

4. ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

สุภาษิตโบราณสอนไว้ว่า “สองหัวดีกว่าหัวเดียว” เพราะฉะนั้น อย่ามัวแต่นั่งคิดนั่งกลุ้มอยู่เพียงลำพัง จงหันไปปรึกษาคนในครอบครัว เพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงาน ให้พวกเขาช่วยคุณคิดหาวิธีเอาชนะอุปสรรค เพราะมีหลายครั้งที่คนเหล่านี้ มีมุมมองต่างกันในสถานการณ์นั้นๆ ที่จะช่วยฟันฝ่าอุปสรรคได้ในทันที หรือไม่ก็เป็นแรงจูงใจที่ช่วยพาคุณผ่านพ้นอุปสรรคตรงหน้าไปได้
 
5. จ้างมืออาชีพ

ในบางเวลา คุณต้องอาศัยมืออาชีพเข้ามาช่วย ถ้าปัญหานั้นร้ายแรง และคุณขาดความรู้ความชำนาญในการจัดการ แต่ต้องแน่ใจว่า คนนั้นเคยมีประสบการณ์แก้ไขปัญหาที่คล้ายคลึงกันมาก่อน ลองขอชื่อบุคคลที่อ้างอิงได้ เพื่อคุณจะได้สอบถามผลการแก้ปัญหา แต่ถ้าจะให้ดี ควรมีการเซ็นสัญญาว่าจ้าง ระบุถึงปัญหาและการแก้ไข เป็นลายลักษณ์อักษร ก่อนลงมือทำงาน

6. เปลี่ยนทัศนคติในการมองปัญหา

คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวหรอกว่า ตัวเองนี่แหละที่เป็นตัวปัญหา เพราะฉะนั้น ต้องหันกลับมาดูตัวเอง และประเมินทัศนคติของตัวคุณเองว่า หากเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาหรือสถานการณ์นั้นแล้ว จะช่วยให้คุณเอาชนะอุปสรรคได้หรือไม่ ซึ่งวิธีการนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผู้อื่นเป็นตัวอุปสรรค คุณอาจต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อคนคนนั้น เพื่อเขาจะให้ความร่วมมือ และแม้ว่าต้องอาศัยระยะเวลานาน แต่รับรองว่า ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่ง

7. ลองผิดลองถูก

ถ้าคุณได้ทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ยังล้มเหลว หรืออยู่ในสถานการณ์พิเศษ คุณอาจต้องใช้วิธีลองผิดลองถูก จะว่าไปแล้ว นี่ไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเอาชนะอุปสรรค แต่อาจถือเป็นทางเลือกหนึ่ง โดยต้องพยายามทำให้เป็นระบบ ทำช้าๆ และประเมินผลที่ได้แต่ในแต่ละวิธีอย่างระมัดระวัง และบางครั้งการนำผลที่ได้จากการลองผิดลองถูกหลายๆวิธีมารวมกัน ก็นำไปสู่ความสำเร็จได้เช่นกัน

8. หยุดพักสมองซะบ้าง

เคยมั้ย เมื่อมีปัญหาหลายๆเรื่องที่แก้ไม่ตก หลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงหมกมุ่นคิดค้นหาหนทางแก้ จนถึงทางตัน คุณก็เริ่มถอดใจ แล้วเข้านอน แต่เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้า สมองโล่ง กลับคิดวิธีแก้ปัญหาได้ทันที ดังนั้น ในบางครั้ง คุณจำเป็นต้องหยุดพักสมองเสียบ้าง อย่าไปฝืน แม้จะรู้สึกไม่ดีที่ต้องเดินหนีปัญหา แต่มันกลับเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ควรทำ

9. อย่ายอมแพ้

จำไว้อย่างหนึ่งว่า “ผู้ชนะไม่เคยถ้อถอย และผู้ท้อถอยไม่เคยชนะ” บางเวลาคุณอาจถอยหลังมาตั้งหลัก หันหลังกลับ หรือแม้แต่ใช้แนวทางใหม่ แต่คุณต้องไม่เลิกล้มความพยายามที่จะเอาชนะอุปสรรคที่ขวางกั้นอยู่ เพราะความอุตสาหะหรือความเพียรพยายาม เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ มีคนบางคนที่ต่อสู้กับปัญหาชนิดที่เรียกว่า “กัดไม่ปล่อย” พวกเขาจะยืนหยัดสู้กับปัญหาจนกว่าจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง แม้ว่าแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตาม แต่นี่ก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะไปนำสู่ความสำเร็จได้

10. เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

เมื่อลองทำทุกวิธีแล้ว ยังไม่ได้ผล ให้กลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่ อาจเป็นไปได้ว่า คุณตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับอุปสรรคผิดตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือ จงประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้งอย่าง ถี่ถ้วนและรอบคอบ และถ้ายังล้มเหลวอีก อาจจะเป็นเพราะคุณยังหาต้นตอของสาเหตุไม่เจอ หรือไม่ก็ยังจับประเด็นไม่ถูกต้อง ฉะนั้น ต้องแน่ใจว่า คุณเข้าใจปัญหาทั้งหมดอย่างถ่องแท้ เพื่อจะหาทางแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว

เจริญ สิริวัฒนภักดี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจริญ สิริวัฒนภักดี (เกิด 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2487) คือนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีน ประกอบธุรกิจหลายแขนง อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เฯลฯ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริษัทไทยเบฟเวอเรจ[1] เจ้าของบริษัทเบียร์ช้างและบริษัทในเครือ นอกจากนั้นยังเข้าเป็นผู้สนับสนุนหลักของสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตันในฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เจ้าของกิจการ โรงแรม พลาซ่า แอททินี่ ในกรุงเทพมหานคร และในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
จากการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บ (ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555) เจริญ สิริวัฒนภักดีมีทรัพย์สินรวมทั้งหมด 6,200 ล้านดอลลาร์สหรัญ (ราว 192,000 ล้านบาท) โดยเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 3 ของประเทศไทย (อันดับ 1 คือนายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าของธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์ อันดับ 2 คือตระกูลจิราธิวัฒน์ เครือเซ็นทรัล) คิดเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 184 ของโลก [2]
เจริญ สิริวัฒนภักดี สมรสแล้วกับ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี มีบุตร 5 คน (ชาย 2 คน หญิง 3 คน) ได้แก่ นันท์ วัลลภา ฐาปน ฐาปนี และ ปณต สิริวัฒนภักดี

 

ประวัติ

เจริญ สิริวัฒนภักดี มีชื่อภาษาจีนว่า “โซว เคียกเม้ง” (苏 旭明, เคียกเม้ง แซ่โซว) เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 บิดามีอาชีพขายหอยทอด ใช้เวลาเรียนถึง 8 ปีเพื่อให้จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนเผยอิง เนื่องจากระหว่างเรียนต้องทำงาน หาเลี้ยงชีพด้วยการขายของเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเขาอายุ 11 ปี ได้รับจ้างเข็นรถส่งสินค้า ย่านสำเพ็ง ทรงวาด จากนั้นจึงขยับเป็นพ่อค้าหาบของขาย
ปี 2504 ได้เป็นลูกจ้างของชาวจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยคนหนึ่ง ในบริษัทย่งฮะเส็ง และห้างหุ้นส่วนจำกัด แพนอินเตอร์ ที่จัดส่งสินค้าให้โรงงานสุราบางยี่ขั้น และเพียงปีเดียวเขาได้เป็น ”ซัพพลายเออร์” ให้โรงงานสุราบางยี่ขันเอง นำมาสู่การรู้จักกับนายจุล กาญจนลักษณ์” ผู้เชี่ยวชาญการปรุงรสสุรา โดยเฉพาะสูตร ”แม่โขง” และคุ้นเคยกับเจ้าสัว เถลิง เหล่าจินดา” ผู้มีอำนาจในการจัดซื้ออุปกรณ์ทุกอย่างของโรงงาน โซเคียกเม้ง” กลายเป็นขุนพลคู่ใจของเจ้าสัวเถลิงในเวลาไม่นาน เพราะความอ่อนน้อมถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ กลยุทธ์ แลเคล็ดลับในการทำธุรกิจสุราจึงเป็นของเขาในที่สุด
เมื่ออยู่ในวงการของเจ้าสัวแล้ว จึงได้มีโอกาสพบกับ ”วรรณา แซ่จิว” หรือปัจจุบันคือ ”คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี” บุตรสาวของเจ้าสัวกึ้งจู แซ่จิว
ปี 2518 บริษัทธารน้ำทิพย์ ผู้ผลิต ”ธาราวิสกี้” ของ ”พงส์ สารสิน” และ ”ประสิทธิ์ ณรงค์เดช” ประสบภาวะขาดทุนและประกาศขาย กลุ่มเจ้าสัวเถลิงและ “เจริญ” จึงเข้าซื้อกิจการ ซึ่งก็คือบริษัทแสงโสมในปัจจุบัน
ปี 2529 “เจริญ” ที่ได้กลายเป็น ”เจ้าสัว” ไปแล้ว ได้เข้าสู่ธุรกิจธนาคาร และการเงิน ด้วยความช่วยเหลือของ ”พ่อตา” เข้าไปซื้อหุ้นในธนาคารมหานคร บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหาธนกิจ ซื้อหุ้นในบริษัทอาคเนย์ประกันภัย และอีกหลายกิจการ
ปี 2537 ซื้อกิจการกลุ่มโรงแรมอิมพีเรียล ที่มีโรงแรมในเครือจำนวนมากจากนายอากร ฮุนตระกูล และจากนั้น ”เจ้าสัวเจริญ” ก็ขยายธุรกิจอย่างไม่เคยหยุดยั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยมีทายาท 5 คน พร้อมสานต่อ คือ อาทินันท์ วัลลภา ฐาปน ฐาปนี และปณต
ปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่เป็นเลื่องลือของเจ้าสัว ”เจริญ” คือ การซุ่มซ่อนยาวนาน สะสมทุน รอคอยโอกาส ที่สำคัญ “คุณธรรมน้ำมิตร” ที่ว่า ”บุญคุณต้องทดแทน” ทำให้เส้นทางของ ”เจ้าสัวเจริญ” ยังมีโอกาสอีกยาวไกล
เจริญ สิริวัฒนาภักดี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทจากคณะเดียวกัน นอกจากนี้แล้วนายเจริญ ยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (พ.ศ. 2553)[3]

ช่วงเริ่มเข้าสู่ธุรกิจสุรา

ปี พ.ศ. 2504 ได้เป็นลูกจ้างของชาวจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยคนหนึ่ง ในบริษัท "ย่งฮะเส็ง" และห้างหุ้นส่วนจำกัด "แพนอินเตอร์" ที่จัดส่งสินค้าให้ "โรงงานสุราบางยี่ขัน" นำมาสู่การรู้จักกับนาย "จุล กาญจนลักษณ์" ผู้เชี่ยวชาญการปรุงรสสุรา "แม่โขง"
เจ้าสัวเข้าสู่วงการธุรกิจสุราด้วยการชวนของเถลิง เหล่าจินดา แห่งกลุ่มสุราทิพย์ ผู้ซึ่งต่อมาเป็นปรปักษ์กับตระกูลเตชะไพบูลย์ ซึ่งถือเป็นเจ้าพ่อในวงการนี้มายาวนาน ในปี 2525 เมื่อเถลิงผ่านการต่อสู้อย่างโชกโชน ก็เหนื่อยล้าลาจากวงการไป เจริญก็เข้าสวมแทนและสามารถเอาชนะกลุ่มเตชะไพบูลย์ โดยเข้ายึดครองกลุ่มสุรามหาราษฎร อย่างสิ้นเชิงในปี 2530 ในขณะเดียวกันนั้น พ่อตาของคุณเจริญ(นายกึ้งจู แซ่จิว) ก็เข้ายึดกิจการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหาธนกิจจากตระกูลเตชะไพบูลย์อีกสายหนึ่ง ต่อมาเมื่อเตชะไพบูลย์สายนั้น (โคโร่-คำรณ เตชะไพบูลย์) มีปัญหาในการบริหารธนาคารมหานคร เจริญและพ่อตา ซึ่ง มีสองขาทางธุรกิจที่หนุนเนื่องกัน (ธุรกิจสุราและการเงิน) และกำลังเริ่มยิ่งใหญ่ในปี 2530 ก็เข้ายึดครองกิจการ การเงิน ทั้งธนาคารและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไว้ ทั้งๆ ที่ธุรกิจการธนาคารสำหรับ สังคมไทย ถูกปิดตายสำหรับคนนอกมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง จากจุดนี้จึงถือว่า เจริญ สิริวัฒนภักดี สร้างอาณาจักรที่มั่นคงและโหมโรงการขยายตัวอย่างเชี่ยวกรากในเวลาจากนั้นมา

ขยายสู่ธุรกิจเบียร์

ก่อนที่จะมาเป็นคนรวยที่สุดของประเทศไทย มีความยากจนมากแต่ท่านชอบอาชีพนักขายเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ต่อสู้มาจนถึงปัจจุบัน ธุรกิจสุราดั้งเดิม แม้ว่าระบบสัมปทานแบบเดิมกำลังจะปิดฉากลง แต่เขาก็สามารถใช้เครือข่ายการค้าแบบเดิม ซึ่งฝังรากในตลาดล่างกับเครือข่ายการค้า ในชุมชนซึ่งถือว่าเป็นเครือข่ายการค้าที่เข้มแข็งที่สุดเครือข่ายหนึ่งในสังคมไทย ภายใต้ระบบเอเย่นต์ และระบบขายพ่วง (สุราพ่วงเบียร์ สุราพ่วงโซดา) ที่เข้มแข็งนั้นเดินหน้าธุรกิจต่อไปจากนั้นก็ต่อเนื่องเข้าสู่ธุรกิจเบียร์ (เบียร์ช้าง และเบียร์คาร์ลสเบอร์ก) ซึ่ง เสริมกับค้าสุราได้อย่างกลมกลืน ภายใต้โครงสร้างการแข่งขันที่ดุเดือดของธุรกิจนี้ นำเอาโมเดลการค้าสุรามาทำให้ความสามารถในการแข่งขันอยู่ได้ ซึ่งถือว่าเบียร์ช้าง เป็นคู่แข่งทางการตลาดของเบียร์สิงห์โดยตรง
ปี พ.ศ. 2537 ได้เข้าซื้อกิจการกลุ่มโรงแรมอิมพีเรียล ที่มีโรงแรมในเครือจำนวนมากจากนายอากร ฮุนตระกูล และจากนั้นก็ขยายธุรกิจอย่างไม่เคยหยุดยั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน